วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ชีวิตล้ำๆ ของ เกอร์ดา เวเกเนอร์

ชีวิตล้ำๆ ของ เกอร์ดา เวเกเนอร์

เรื่องราว ชีวิตของคู่จิตรกรชาวเดนิช เกอร์ดา เวเกเนอร์ และสามี ไอนาร์ เวเกเนอร์ (ที่ภายหลังกลายเป็นสตรีข้ามเพศคนแรกของโลก ลีลี่ เอลเบ) ได้รับการถ่ายทอดลงในภาพยนตร์ The Danish Girl (บ้านเราจะเข้าฉายประมาณเดือน ก.พ. 2016) ทว่า หอศิลป์อาร์เคน (Arken) ในกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ชิงจัดแสดงนิทรรศการผลงานของ เกอร์ดา เวเกเนอร์ ก่อนหนังจะเข้าฉายที่สหรัฐเสียอีก และนิทรรศการ Gerda Wegener จะจัดยาวไปถึงวันที่ 16 พ.ค. 2016 เลย
หากมองย้อนไปในช่วงรอยต่อศตวรรษที่ 19-20 ผลงานของจิตรกรและนักวาดภาพประกอบหญิงผู้นี้ สุดแสนจะสั่นสะเทือนวงการ ด้วยภาพเขียนที่เน้นไปในแนวเซ็กซี่อีโรติก นอกจากนี้ ชีวิตของเธอยิ่งผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวไปจากขนบของสังคมอย่างสุดๆ เช่นเดียวกัน

เกอร์ดา มารี เฟรดริกเค กอตลิบ (มีชีวิตระหว่างปี 1886-1940) ลูกสาวของพระในศาสนาคริสต์ที่เติบโตในชนบทของเดนมาร์ก ก่อนจะย้ายเข้ามายังกรุงโคเปนเฮเกนเพื่อศึกษาต่อทางด้านศิลปะที่รอยัล อะคาเดมี ออฟ ไฟน์ อาร์ตส์ อันเป็นที่ที่เธอได้พบกับสามี ไอนาร์ เวเกเนอร์ (มีชีวิตระหว่างปี 1882-1931)

ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1904 ตอนนั้นเกอร์ดาอายุ 19 ส่วนไอเนอร์ 21 ข้าวใหม่ปลามันเดินทางไปยังอิตาลีและฝรั่งเศสในปี 1912 โดยเกอร์ดาประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้งในฐานะจิตรกรและนักวาดภาพประกอบให้นิตยสารดังของฝรั่งเศสหลายเล่ม

แม้จะสร้างชื่อเสียงโด่งดังในฝรั่งเศส แต่เธอก็ไม่ลืมบ้านเกิดในเดนมาร์ก เกอร์ดาจัดนิทรรศการผลงานเดี่ยวของเธออย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะแกลเลอรี่โอเล ฮัสลุนด์ ในกรุงโคเปนเฮเกน ไม่เพียงประสบความสำเร็จจากผลงานที่ได้การยอมรับเท่านั้น หากชีวิตการแต่งงานที่ไม่ธรรมดาของเธอก็ยิ่งสร้างชื่อเสียงให้อีกทวีคูณ
ในช่วงเวลาของเธอ หลายๆ คนเห็นว่า ลีลี่มีความสามารถทางศิลปะมากกว่าเกอร์ดา เม้าท์กันว่า ไอนาร์ ถึงกับต้องลดการผลิตผลงานลงเพื่อให้ภรรยาโด่งดังขึ้นมาได้

เขาซึ่งกลายเป็นเธอในภายหลัง เริ่มเป็นเป็นแบบให้ภรรยาในชุดสตรีครั้งแรก เมื่อนางแบบที่เธอจ้างไว้เกิดเบี้ยวนัดกะทันหัน ไอนาร์แต่งองค์ทรงเครื่องครบมาก ทั้งสวมถุงน่องและรองเท้าส้นสูง แถมตั้งฉายาให้ตัวเองเสร็จสรรพว่า ลีลี่ เอลเบ

เขารู้สึกดีในคราบสตรีอย่างบอกไม่ถูก และลีลี่ก็กลายเป็นนางแบบที่เกอร์ดาปลื้มสุดๆ ทั้งสร้างชื่อเสียงให้เธอกับภาพแนวอีโรติกในเวลาต่อมา

ในที่สุดไอนาร์ก็ตัดสินใจที่จะกลายเป็นผู้หญิงจริงๆ และสร้างประวัติศาสตร์ในการผ่าตัดแปลงเป็นสตรีข้ามเพศเป็นคนแรกของโลกในปี 1930 โดยมีเกอร์ดาคอยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างแข็งขัน
เกอร์ดา
คู่แต่งงานเวเกเนอร์ได้รับการประกาศว่าเป็นโมฆะอย่างเป็นทางการ ในเดือน ต.ค. 1930 โดยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 10 กษัตริย์แห่งเดนมาร์กในขณะนั้น และในปีต่อมาหลังจากลีลี่เสียชีวิตจากการผ่าตัดครั้งที่ 4 เพื่อที่จะให้เธอสามารถแต่งงานได้เหมือนผู้หญิงจริงๆ เกอร์ดาก็แต่งงานใหม่ กับนายพลเฟร์นานโด ปอร์ตา นักบินชาวอิตาเลียน ก่อนจะย้ายตามสามีไปอยู่ที่โมร็อกโก ทว่าหย่าขาดจากกันในอีก 5 ปีต่อมา และเธอก็ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านในกรุงโคเปนเฮเกน

เกอร์ดาจัดนิทรรศการเดี่ยวครั้งสุดท้ายในปี 1939 แต่ศิลปะของเธอเริ่มไม่ได้รับความนิยมแล้ว เธอเสียชีวิตในอีกปีถัดมา
The Danish Girl หนังสือที่เล่าเรื่องราวชีวิตของไอนาร์หรือลีลี่กับเกอร์ดา ตีพิมพ์ในปี 2000 กลายเป็นหนังสือขายดี และได้รับการแปลออกมาในหลายภาษา ก่อนที่ผู้กำกับ ทอม ฮูเปอร์ จะสนใจสร้างเป็นหนังฮอลลีวู้ด ที่มีนักแสดงสวีดิช อลิเซีย วิคันเดอร์ รับบทเกอร์ดาร์ ส่วนบทบาทไอนาร์และลีลี่นั้นได้นักแสดงออสการ์ อย่าง เอดดี เรดเมน มาแสดง

แกลเลอรี่อาร์เคน บอกว่า เกอร์ดาเป็นสตรีที่ก้าวล้ำกับสมัยที่เธออยู่ ไม่ว่าจะเป็นผลงานศิลปะแนวอีโรติกที่ผู้คนต้องตะลึง ทว่า การสนับสนุนให้สามีตัวเองผ่าตัดแปลงเพศนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงในยุคเดียวกันจะคิดได้

การนำผลงานกว่า 170 ชิ้นมาจัดแสดงไว้ที่อาร์เคน แกลเลอรี่ ก็นับเป็นครั้งแรกที่มีการรวบรวมมาเพื่อระลึกถึงเธอในรอบ 50-60 ปีเลยทีเดียว

หรือเฟอร์เมียร์มีนัยน์ตาเหยี่ยว

หรือเฟอร์เมียร์มีนัยน์ตาเหยี่ยว

ภาพเขียนจากศตวรรษที่ 17 ของโยฮันเนส (ยาน) เฟอร์เมียร์ ที่วาดได้ละเอียดชัดเจนราวกับภาพถ่ายส่วนใหญ่เป็นภาพวาดชีวิตผู้คนในบ้าน ซึ่งเป็นฉากซ้ำๆ นางแบบ/นายแบบหน้าเดิมๆ โดยในยุคสมัยของเขานั้นไม่ประสบความสำเร็จ (ทางด้านรายได้) สักเท่าไร ขณะที่เขาจากไปได้ทิ้งหนี้สินจำนวนมากไว้ให้ภรรยาและลูก

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ ยาน เฟอร์เมียร์ สร้างสรรค์งานไว้จำนวนน้อยนิดเท่านั้นเอง เขาค่อยๆ บรรจงจรดฝีแปรงลงในแต่ละภาพอย่างเชื่องช้า ละเอียดลออ นอกจากใส่ใจกับรายละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งเหลี่ยมมุมสุดเป๊ะของภาพ อีกทั้งแสงเงาเสมือนจริงมากๆ แล้ว เขายังนิยมใช้สีสันจัดจ้าน อีกทั้งสีที่หายาก ราคาแพง อย่างเช่น สีน้ำเงินอมม่วงของลาพิส ลาซูลี หรือสีเหลืองอินเดียน

ความก้าวล้ำในผลงานศิลปะของยาน เฟอร์เมียร์ ถูกค้นพบในขณะที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว (ด้วยวัยเพียง 40 กว่าปีเท่านั้น) นานกว่า 2 ศตวรรษทีเดียว โดยในยุคสมัยของเขานั้น ยาน ไม่ได้นับเป็นศิลปินดัตช์ตัวกลั่น  กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงศตวรรษที่ 19 จึงเริ่มมีคนค้นพบและเริ่มศึกษาผลงานของเขาอย่างจริงจัง ว่ามันมีคุณค่าแห่งความเนี้ยบ ละเอียดลออ ประณีตขนาดไหน
ยาน เฟอร์เมียร์

กุสตาฟ ฟรีดริกซ์ วาเกน และเตโอฟิล ตอเร่-เบอร์เกอร์ เป็นคนที่ค้นพบภาพเขียนของเขาในศตวรรษที่ 19 และนำ 66 ภาพนั้นมาตีพิมพ์ร่วมกับความเรียงของพวกเขา (ที่ได้การยอมรับว่าเป็นผลงานจริงของเขามีเพียง 34 ภาพ) นับแต่นั้นมา ยาน เฟอร์เมียร์ จึงเป็นที่รู้จักกันในฐานะศิลปินเอกคนหนึ่ง ในยุครุ่งเรืองของศิลปะดัตช์

อย่างไรก็ตาม พวกเรารู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตและงานของยาน เฟอร์เมียร์น้อยมาก เพราะแทบไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเขาหลงเหลืออยู่เลย ทุกคนรู้เพียงแต่ว่าเขาเกิด อาศัย และทำงานอยู่ที่เมืองเดลฟต์ ทางตอนใต้ของประเทศเนเธอร์แลนด์ แค่นั้นเอง จน เตโอฟิล ตั้งฉายาให้เขาว่า The Sphinx of Delft หรือผู้ลึกลับแห่งเดลฟต์ นั่นเอง

บางสิ่งที่ลึกลับยิ่งมีหลากหลายคนต้องการจะค้นหา ยาน เฟอร์เมียร์ ได้รับการกล่าวถึงในนิยาย บทเพลง และภาพยนตร์ของยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนิยายของอกาธา คริสตี้ เรื่อง After the Funeral หรือ In Search of Lost Time ของมาร์เซล เพราสต์ รวมทั้งในนิยายเรื่อง Hannibal ของโทมัส แฮร์ริส แต่ที่ป๊อปปูลาร์ของยุคนี้ ต้องยกให้หนังและหนังสือ Girl with a Pearl Earring ที่ทำให้ชื่อของจิตรกรดัตช์โด่งดังไปทั่วโลก
แม้ จะเริ่มต้นการเขียนภาพแบบธรรมดาๆ เช่นเดียวกับจิตรกรคนอื่นๆ แต่จุดหักเหของยาน เฟอร์เมียร์ อยู่ตรงที่เขาเริ่มเลือกใช้สีที่แตกต่าง

ไม่มีจิตรกรในศตวรรษที่ 17 คนไหนใช้สีจากหินลาพิส ลา ซูลี ที่มอบสีน้ำเงินแบบเจิดจ้า นอกจากนี้ ผลงานจำนวนมากที่เขาสร้างสรรค์ภายในห้องๆ เดียวนั้น มีการผสมผสานทั้งอินทีเรียร์ดีไซน์ (ก่อนจะถึงยุคอาร์ตเดโค) และเรียลลิสม์ โดยนอกจากเขาจะพยายามใช้สีสันที่เหมือนจริงของสิ่งนั้นๆ มากที่สุดแล้ว เขายังไม่มองข้ามรายละเอียด ไม่ว่าจะเล็กๆ น้อยๆ เพียงใด ไม่ว่าจะเป็นแสงเงาที่สาดลงบนผนังห้อง เสื้อผ้า หน้า ผม เงาสะท้อนของทุกสิ่งบนวัตถุที่เป็นเงามัน ฯลฯ จนเป็นภาพเขียนที่ออกมาเหมือนจริงราวกับภาพถ่าย

นักวิจารณ์/วิจัยศิลปะสงสัยกันมากว่า ยาน เฟอร์เมียร์ สร้างสรรค์ผลงานแบบนั้นออกมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานว่า เขาศึกษาทางด้านศิลปะกับครูบาอาจารย์คนไหนมา และแทบไม่มีหลักฐานเป็นผลงานภาพสเกตช์ก่อนหน้านี้ของเขาเลย
ใน ปี 2001 เดวิด ฮอคนีย์ จิตรกรดังชาวอังกฤษ ออกหนังสือ Secret Knowledge: Rediscovering the Lost Techniques of the Old Masters และพูดถึงทั้งยาน เฟอร์เมียร์ รวมถึงจิตรกรเรอเนสซองซ์์หลายคนอย่าง ฮันส์ โฮลไบน์ และดิเอโก เบลาซเกซ ว่าคงต้องใช้อุปกรณ์พิเศษเป็นกระจกโค้ง ร่วมกับคาเมรา ออบสคูร่า และคาเมรา ลูซีดา (อุปกรณ์ที่ใช้หลักการสะท้อนภาพผ่านเลนส์ก่อนจะพัฒนาเป็นกล้องถ่ายรูปทำให้ เห็นภาพชัด และขยายดูด้วยกระจกโค้ง ทำให้เห็นรายละเอียดชัดยิ่งขึ้น)  

ในปี 2008 นักลงทุนที่ไม่ได้มีความรู้ทางด้านศิลปะ ทิม เจนิสัน เชื่อมั่นในทฤษฎีของเดวิด ได้จัดการสร้างห้องๆ หนึ่งที่เหมือนกับภาพเขียนของยาน เฟอร์เมียร์ พร้อมทั้งใช้อุปกรณ์อย่างที่ว่า ลองวาดภาพ The Music Lesson หรือ A Lady at the Virginals with a Gentleman ออกมา (ขั้นตอนการทำงานอยู่ในหนังสารคดี Tim’s Vermeer ปี 2013) ซึ่งมีหลายๆ จุดพิสูจน์ให้น่าเชื่อได้ว่า จิตรกรเอกชาวดัตช์ใช้อุปกรณ์ที่ว่าเป็นตัวช่วยในการวาดภาพจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของลำแสงฟรุ้งฟริ้งที่ตกกระทบกำแพงห้องในภาพ และยังมีเงาสะท้อนใบหน้าของเด็กสาวบนเปียโน ซึ่งทิมได้ไปถามความเป็นของผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตาและการมองเห็น ว่าเป็นไปได้ไหมที่คนเราจะมองเห็นรายละเอียดเล็กๆ แบบนี้ แล้ววาดออกมาเป็นภาพได้

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า คงต้องมีสายตาแบบเหยี่ยวเท่านั้นหละครับ...

อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้ยังเป็นที่ถกเถียง โยฮันเนส หรือยาน เฟอร์เมียร์ ยังคงเป็น สฟิงซ์แห่งเดลฟต์ ที่มีคนรู้ความเป็นไปเกี่ยวกับตัวเขาน้อยมากอยู่ดี

ปิแอร์ บอนนารด์ สิงห์หนุ่มแห่งโพสต์-อิมเพรสชันนิสม์

ปิแอร์ บอนนารด์ สิงห์หนุ่มแห่งโพสต์-อิมเพรสชันนิสม์

จิตรกรที่มีผลงานอันเป็นเอกลักษณ์สุดโดดเด่นของศตวรรษที่ 20 ปิแอร์ บอนนารด์ ศิลปินนัดวาดและพิมพ์ภาพ หนึ่งในสมาชิกที่ร่วมก่อตั้งกลุ่มนาบีส์ (Les Nabis) ที่รวมเอากลุ่มศิลปินก้าวหน้าแห่งยุคโพสต์-อิมเพรสชันนิสม์เอาไว้

ปิแอร์ นิยมสร้างสรรค์งานจากความทรงจำ เขามักอาศัยภาพดรออิงที่สเกตช์แบบเอาไว้เป็นตัวช่วยแทนที่แบบตัวเป็นๆ โดยมักมีโน้ตเกี่ยวกับสีสันที่จะใช้เขียนกำกับไว้

ภาพส่วนใหญ่ของเขามักเป็นเรื่องราวง่ายๆ ในบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพวาดของภรรยา มาร์ต เดอเมอลินญี

ความโดดเด่นในผลงานของปิแอร์ บอนนารด์ อยู่ที่การไม่ยึดติดองค์ประกอบภาพแบบเดิมๆ หันไปเน้นเรื่องของสีสัน และสร้างเรื่องราวในภาพราวบทกวี หรือความเรียงที่ให้ข้อคิด ตั้งแต่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่แวดวงศิลปะต่างก็ยอมรับในผลงานที่มีสีสันแปลกไม่ซ้ำใคร รวมทั้งเต็มไปด้วยจินตนาการสุดซับซ้อน

โรเบอร์ตา สมิธ นักวิจารณ์ศิลปะชาวอเมริกันบอกว่า การเลือกใช้สีของเขาไม่ใช่เพียงความแตกต่างที่เห็นได้ด้วยตา ทว่า เปี่ยมไปด้วยความร้อนแรงแห่งอารมณ์ ที่ห่มคลุมไปด้วยม่านสีสุดนวลเนียนแต่ร้อนแรง ผสานกับองค์ประกอบที่คาดไม่ถึง และรูปทรงอันแปลกประหลาด
ปิแอร์ เกิดที่ฟงเตอเนย์-โอซ์-โรส ชานกรุงปารีสทางตอนเหนือของแม่น้ำแซน เมื่อ 3 ต.ค. 1867 ในครอบครัวอำมาตย์ บิดาของเขาเป็นถึง รมว.กระทรวงสงคราม เขาเรียนกฎหมายตามใจพ่อจนจบและพร้อมว่าความ หากก็ศึกษาศิลปะที่เขาสนใจเป็นส่วนตัวไปพร้อมๆ กันด้วย ซึ่งในที่สุดแล้วเขาก็เลือกที่จะเป็นจิตรกร

ในปี 1891 เขาได้เข้าร่วมแสดงผลงานในนิทรรศการประจำปีของกลุ่มศิลปินอิสระ อย่างโซซิเอเต เดส์ อาร์ติสต์ส แองเดปองด็องต์ส (Société des Artistes Indépendants) และปีเดียวกัน ยังได้ร่วมงานกับนิตยสาร La Revue Blanche ซึ่งเขาและเอดูอารด์ ฟุยยารด์ ได้ช่วยกันออกแบบปกของนิตยสารเกี่ยวกับศิลปะและกวีฉบับนี้

ในวัยต้น 20 เขาและเพื่อนศิลปินหนุ่มๆ วัยเดียวกัน อย่าง เอดูอารด์ ฟุยยารด์ โมริซ เดอนีส์ ฯลฯ ได้ร่วมกันตั้งกลุ่มนาบีส์โดยเป็นการรวมพวกหัวก้าวหน้า ทั้งสาขาจิตรกรรม กราฟฟิกอาร์ต และวรรณกรรม สมัยโพสต์-อิมเพรสชันนิสม์ นอกจากวัยใกล้เคียงแล้ว สมาชิกส่วนใหญ่ยังจบการศึกษาจากโรงเรียนศิลปะเอกชน โรโดล์ฟ ชูเลียง กรุงปารีสช่วงทศวรรษที่ 1880 อีกด้วย
กลุ่มนาบีส์ รวมตัวกันสร้างสรรค์ศิลปะเชิงสัญลักษณ์และจิตวิญญาณของธรรมชาติ นอกเหนือจากผลงานจิตรกรรมแล้ว เขายังมีภาพวาดโปสเตอร์ ภาพประกอบในหนังสือ ภาพสเก็ตช์การออกแบบฉากละครเวที รวมทั้งภาพพิมพ์

ปิแอร์ ออกจากกรุงปารีสไปอาศัยที่ตอนใต้ของฝรั่งเศสในปี 1910 จากบันทึกของเพื่อนๆ และนักประวัติศาสตร์ศิลปะต่างบอกว่า เขาเป็นคนที่เงียบ รักสันโดษ และมีโลกส่วนตัวสูงมาก ด้วยความที่เกิดในตระกูลร่ำรวย เขาจึงปราศจากความเครียดทั้งปวง การสร้างสรรค์งานศิลปะของเขาราวกับเป็นหนทางสู่ปัญญา เป็นเครื่องมือแห่งความหลุดพ้น
ปิแอร์ บอนนารด์ เป็นที่รู้จักด้านการใช้สีที่จัดจ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ฝีแปรงเล็กๆ กอปรกันขึ้นจนเป็นจุดเด่นในภาพ ภาพของเขามักจะมีองค์ประกอบที่ซับซ้อน อย่างเช่นภาพแสงอาทิตย์ส่องจากสวนเข้ามาในห้องที่มีสมาชิกครอบครัวหรือ เพื่อนฝูงนั่งกันอยู่เต็ม ภาพทั้งภาพเหมือนการเล่าเรื่องอัตชีวประวัติของตัวเขาเอง

ภาพวาด มาร์ต ภรรยาของเขาเอง เป็นชิ้นงานที่โดดเด่นอยู่หลายทศวรรษ ไม่ว่าจะป็นภาพที่เธอนั่งในครัวบริเวณโต๊ะที่มีอาหารเหลือๆ หรือภาพนู้ดของเธอในอ่างอาบน้ำ ฯลฯ นอกจากนี้ ปิแอร์ ยังวาดภาพเหมือนตัวอง ภาพแลนด์สเคป ภาพฉากบนท้องถนน รวมถึงภาพหุ่นนิ่งอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปผลไม้และดอกไม้

หลังจากที่เขาเสียชีวิตในปี 1947 ดูเหมือนว่าจะเอาผลงานและชื่อเสียงที่สร้างมาลงหลุมไปด้วย กว่าจะหวนคืนบัลลังก์ศิลปะอีกครั้งก็ปาเข้าไปปี 1998 ที่มีการจัดนิทรรศการรำลึกถึงเขา 2 ครั้ง ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และกรุงนิวยอร์ก สหรัฐ และหลังจากนิทรรศการ Pierre Bonnard : The Late Interiors ที่เดอะ เม็ตส์ กรุงนิวยอร์ก ซึ่ง เจด เพิร์ล นักวิจารณ์ศิลปะได้เขียนอวยเขามากมาย ผลงานของเขากลายเป็นที่จับตาของนักสะสม

ภาพ Terrasse à Vernon สร้างสถิติที่สถาบันประมูลคริสตีไปในราคา 8.5 ล้านยูโร (หรือราว 300 ล้านบาท) โดยในปี 2014 มีการเจอภาพ La Femme aux Deux Fauteuils (Woman with Two Armchairs) มูลค่า 6 แสนยูโร (ราว 20 ล้านบาท) ซึ่งถูกขโมยไปจากลอนดอน ปี 1970 ที่อิตาลี พร้อมกับภาพเขียนของโปล โกแกง Fruit on a Table with a Small Dog โดยพนักงานบริษัท เฟียต ผู้ครอบครองภาพ เล่าว่า ซื้อมาจากตลาดของเก่าในปี 1975

เปโร ดิ โกสิโม อิตาเลียนเรอเนสซองซ์นอกคอก

เปโร ดิ โกสิโม อิตาเลียนเรอเนสซองซ์นอกคอก

นิทรรศการรำลึกถึง เปโร ดิ โกสิโม Piero di Cosimo : The Poetry of Painting in Renaissance Florence กำลังจัดแสดงอยู่ ณ หอศิลป์แห่งชาติสหรัฐ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระหว่างวันนี้ถึง 3 พ.ค. ก่อนที่จะย้ายไปแสดงที่หอศิลป์ในฟลอเรนซ์ (Galleria degli Uffizi) ระหว่าง 23 มิ.ย.-27 ก.ย.ศกนี้

คนรักศิลปะตัวจริงเสียงจริง ในชีวิตนี้ต้องขอให้ได้ชมภาพเขียนของจิตรกรจากยุคเรอเนสซองซ์รายนี้กันสักครั้ง โดยครั้งนี้นับเป็นการจัดนิทรรศการใหญ่ที่รวบรวมผลงานแบบครบเครื่องครั้งแรกของ เปโร
ดิ โกสิโม กับ 44 ชิ้นงานเด่นระดับมาสเตอร์พีซ ที่ได้รวบรวมมาจากวิหารหลายแห่งในอิตาลี อย่างเช่น Madonna and Child Enthroned with Saints Elizabeth of Hungary, Catherine of Alexandria, Peter, and John the Evangelist with Angels (1493) ที่ขอยืมมาจากพิพิธภัณฑ์หอศิลป์อินโนเชนติ ในฟลอเรนซ์ (Museo degli Innocenti)

ขณะที่ภาพ The Visitation with Saint Nicholas and Saint Anthony Abbot (1489-1490) อันเป็นภาพเขียนขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของเปโร นั้นเพิ่งผ่านการบูรณะมาสดๆ ร้อนๆ

เปโร ดิ โกสิโม ได้ชื่อว่าเป็นจิตรกรนอกคอกในยุคเรอเนสซองซ์ ด้วยผลงานการสร้างสรรค์ที่แปลกแตกต่างจากศิลปินร่วมสมัย โดยเฉพาะบรรดาสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดในจินตนาการที่เขาสร้างขึ้นในภาพ
แม้ว่าผลงานหลายชิ้นจะได้รับอิทธิพลอย่างมากมายมาจากเลโอนาร์โด ดา วินชี อย่าง Madonna and Child with Two Musician Angels (1504-1507) ทว่า เปโรก็สร้างความต่างด้วยการเสกสิ่งมีชีวิตที่ดูราวหลุดออกมาจากตำนาน ให้กลายเป็นตราสัญลักษณ์ของตัวเอง เขามีผลงานมากมายในโบสถ์ที่ฟลอเรนซ์ ตั้งแต่วิหารกัปโปนี่ไปถึงวิหารของสตรอซซี่ ซึ่งหากจะค้นหาความหมายที่แท้ของแต่ละภาพ บรรดานักประวัติศาสตร์ศิลปะทั้งหลายยังกุมศีรษะและส่ายหัว
ภาพที่ดูเหมือนจะเป็นซีรี่ส์เดียวกัน เช่น Perseus Rescuing Andromeda (1510-1513) The Discovery of Honey (1500) The Misfortunes of Silenus (1500) และ The Hunt and The Return from the Hunt (1485-1500) แสดงความยากลำบากของมนุษย์ ซาตาน และสัตว์โลกชนิดอื่นๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ล้วนมีความเจ็บปวดไม่แตกต่างกัน

ศิษย์เอกของโกสิโม รอซเซลลิ แห่งโรงเรียนศิลปะฟลอเรนติน เริ่มต้นเขียนภาพเป็นอาชีพตั้งแต่ปี 1480 รุ่นใกล้เคียงกับจิตรกรชื่อดังแห่งเรอเนสซองซ์ ทั้งซานโดร บอตติเชลลี เลโอนาร์โด ดา วินชี แล้วก็ มีเกลันเจโล แม้มีผลงานไม่ขี้เหร่ แต่ด้วยความที่เขานิยมสร้างสรรค์ตัวประหลาดในผลงานที่เข้าใจยาก ทำให้กลายเป็นเรอเนสซองซ์ที่ออกจะนอกคอก หรือบางทีอาจเป็นเพราะว่า เขาอาจจะก้าวล้ำไปสู่ยุคแอบสแทรกต์ก่อนใครๆ

ภาพเขียนที่แปลกประหลาด ทำให้เปโรมีภาพเป็นจิตรกรจอมเพี้ยน หาก จอร์โจ วาซารี นักประวัติศาสตร์ศิลปะคนแรกของโลก ที่รวบรวมประวัติของจิตรกรเอกในยุคเรอเนสซองซ์ ตั้งข้อสังเกตว่า เปโรพร้อมที่จะเปลี่ยนเทคนิคและรูปแบบในผลงานของเขา จากภาพหนึ่งไปยังอีกภาพอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย

ขณะที่จิตรกรเรอเนสซองซ์คนอื่นๆ วาดภาพพอร์เทรตที่สวยเนี้ยบ เต็มไปด้วยความงามแห่งยุคสมัย หรือรับใช้ศาสนาคริสต์อย่างไร้ที่ติ เปโร ดิ โกสิโม เลือกที่จะขุดเอาสัตว์โบราณจากในตำนานก่อนประวัติศาสตร์มาวิ่งเล่นอยู่ภาพเขียนอารมณ์ประหลาด ที่แสดงความเหนือจริง ดูๆ ไปก็ให้ความรู้สึกเสียดสีและมีอารมณ์ขันอยู่ในที
ชีวิตจริงของเขาก็แปลกประหลาดพอดู ลูกชายของช่างทำเครื่องมือ กลายเป็นนักเรียนศิลปะของโกสิโม รอซเซลลิ ซึ่งเลี้ยงเขามาแบบลูกชายตั้งแต่อายุ 11 เขาช่วยอาจารย์วาดภาพศิลปะบนผนังโบสถ์
ซิสทินไม่รู้กี่ชิ้นต่อกี่ชิ้น แต่ไม่เคยมีชื่อในผลงานนั้นๆ กระทั่งอายุ 18 ที่เป็นศิลปินเต็มตัว เขาไม่เคยวาดเฟรสโกอีกเลย เพราะนิยมเขียนภาพสีน้ำมันบนแผ่นไม้มากกว่า แถมบางครั้งไม่ใช้พู่กันหากนิยมใช้นิ้วมือ (จากบันทึกของจอร์โจ วาซารี)

Madonna and Child (1515-1518) ผลงานชิ้นสุดท้ายของเปโร ดูลดดีกรีความแรงลงมาก เป็นภาพสีหวาน ไม่ใช่สดๆ แรงๆ เหมือนที่เคยทำ ซึ่งเหมือนกับสีสันในผลงานของลูกศิษย์เขา อย่าง อันเดรีย เดล ซาร์โต และจาโคโป ดา ปอนตอร์โม ที่ต่างเริ่มเปลี่ยนจากยุคไฮเรอเนสซองซ์ไปสู่ยุคแมนเนอริสม์กันแล้ว

นั่นเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า เขาพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งใหม่เสมอ ในทุกวันของชีวิต

คู่รักนักวาด

คู่รักนักวาด

Detroit Industry โดย ดิเอโก ริเวรา
นิทรรศการ The Detroit Industry ในนครดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน แสดงภาพศิลปะบนผนังของจิตรกรชาวเม็กซิกัน ดิเอโก ริเวรา จากต้นทศวรรษที่ 1930 รวมทั้งผลงานของคู่ชีวิต อย่างฟรีดา คาห์โล ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึง 12 ก.ค. ณ สถาบันศิลปะดีทรอยต์ หรือดีไอเอ
Self-Portrait on the Borderline between Mexico and the United States 
คู่รักศิลปินทั้งสองมีประวัติศาสตร์คู่กับนครดีทรอยต์มาตั้งแต่ปี 1932 ที่ดิเอโก ได้รับการว่าจ้างให้ไปวาดภาพเขียนผนังบริเวณศูนย์อุตสาหกรรมของเมือง ซึ่งระหว่างที่ไปทำงานที่นั้น ฟรีด้าก็ตามเขาไปสร้างสรรค์ผลงานของตัวเธอเองที่นั่นด้วย The Detroit Industry จึงรวบรวมผลงานของทั้งคู่กว่า 60 ชิ้นที่สร้างสรรค์ขึ้นขณะที่พำนักอยู่ในดีทรอยต์มาจัดแสดง

"การที่เรามีดิเอโกกับฟรีด้ามาอยู่ที่ดีทรอยต์นั้น เรียกว่า ได้พลิกโฉมประวัติศาสตร์ของเมืองให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงเมืองอุตสาหกรรมที่น่าเบื่อ" แกรห์ม ดับเบิลยู. เจ. ผู้อำนวยการสถาบัน ดีไอเอ กล่าวด้วยว่า เขายินดีที่จะนำเสนอเรื่องที่น่าภาคภูมิอย่างยิ่งของชาวดีทรอยต์ ผ่านนิทรรศการศิลปะที่ไม่ธรรมดาของคู่รักชาวเม็กซิกัน ซึ่งบ่งบอกประวัติศาสตร์ของความเป็นเมืองอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน

ผลงานของดิเอโก ริเวรา และฟรีด้า คาห์โล ที่นำมาจัดแสดง ล้วนเป็นผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นระหว่างปี 1932 - 1933 ที่นอกจากได้รับอิทธิพลจากบชรรยากาศในยุคข้าวยากหมากแพงหลังสงครามโลกครั้ง ที่ 1 (Great Depression) แล้ว ยังนับเป็นช่วงที่ฝีมือของพวกเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดดด้วย เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่

ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมาถึงดีทรอยต์ ทั้งคู่ได้ร่วมกันต่อสู้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การเมือง ของชนชั้นล่างชาวเม็กซิโก ยิ่งมาเจอเรื่องราวของชนชั้นแรงงานในดีทรอยต์ ทำให้ดิเอโกและฟรีด้ายิ่งอินกับบรรยากาศ และสร้างสรรค์ผลงานออกมามากมายราวเครื่องจักร อย่างผลงานจิตรกรรมบนกำแพง 27 ชิ้นของดิเอโก บริเวณลานสวนด้านในก็ทำให้สถานที่ที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมเดิม กลายเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และในที่สุดก็พัฒนามาเป็นสถาบันศิลปะดีทรอยต์ หรือดีไอเอในทุกวันนี้
ฟรีด้า-ดิเอโก

ขณะที่ฟรีด้า ซึ่งการมาอยู่ดีทรอยต์ทำให้เธอไร้สุขในเบื้องแรก หากเมื่อเริ่มสร้างสรรค์ผลงาน ก็ยิ่งแสดงความเป็นตัวตนออกมาอย่างชัดเจน และกลายเป็นชิ้นงานเลื่องชื่อในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็น Henry Ford Hospital (1932) หรือ Self-Portrait on the Borderline between Mexico and the United States (1932) โดยในงานที่ยังนำเอาผลงานหลังจากนั้นของฟรีด้า อย่าง Self Portrait with Monkey (1945) The Wounded Deer (1946) ฯลฯ มาจัดแสดงด้วย

คู่รักนักวาด ดิเอโก ริเวรา กับฟรีด้า คาห์โล นับว่าเป็นคู่รักศิลปินที่โด่งดังที่สุดก็ว่าได้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขึ้นๆ ลงๆ เพราะว่าดิเอโกเป็นคนเจ้าชู้ พวกเขาแต่งงานกันในปี 1929 แล้วก็หย่ากันในปี 1939 ก่อนจะกลับมาแต่งงานกันอีกรอบในปีถัดมา ขณะที่ดิเอโกเคยเป็นศิลปินอันดับ ของเม็กซิโกมาโดยตลอด ก่อนจะมาถูกแซงหน้าโดยภรรยาของเขาเอง


เอเลน - วิลเลม เด คูนิง

นักวาดคู่อื่นๆ

เอเลน และวิลเลม เด คูนิง - คู่จิตรกรนักวาด ภาพสีน้ำมัน ในยุคแอ็บสแทร็กต์ เอกซ์เพรสชันนิสม์ ทั้งคู่เป็นกลุ่มศิลปินจากโรงเรียนนิวยอร์ก แต่งงานกันในปี 1943 ความสัมพันธ์แบบลุ่มๆ ดอนๆ แต่ก็ไม่เคยที่จะแยกทางจากกัน

ฟร็องซวส กีโลต์ และปาโบล ปิกัสโซ่
ฟร็องซวส กีโลต์ และปาโบล ปิกัสโซ่ - ตอนที่ฟร็องซวสพบศิลปินดังชาวคาตาลันในกรุงปารีส เธออายุเพียง21 ปี ขณะที่เขาอายุ 61 ทั้งสองครองรักกันอยู่ 10 ปี มีลูกด้วยกัน คน แต่ไม่เคยแต่งงานกัน

กาบริเอเล มุนเทอร์ และวาสสิลี คันดินสกี
กาบริเอเล มุนเทอร์ และวาสสิลี คันดินสกี - ตำนานรักระหว่างครูวาสสิลีและลูกศิษย์กาบริเอเล เริ่มต้นในมิวนิค เมื่อปี 1902 ขณะที่ฝ่ายอาจารย์นั้นแต่งงานมีภรรยาแล้ว แต่กลับกุ๊กกิ๊กไปไหนมาไหนกับศิษย์สาวคนเก่งเสมอๆ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยาวนานถึง 12 ปี โดยได้ร่วมกันก่อตั้งกลุ่มDer Blaue Reiter (The Blue Rider) และ Neue Kunstlervereinigung (New Artist's Association) ขึ้นมาด้วยกัน

ลี คราสเนอร์ และแจ๊กสัน พอลล็อก
ลี คราสเนอร์ และแจ๊กสัน พอลล็อก - ศิลปินคู่รักจากนิวยอร์กที่ได้ชื่อว่าช่วยกันทำมาหากินสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ อีกคู่หนึ่ง โดยคนมักจะนินทาคู่นี้ว่า ลี เคยดังและเก่งกว่าแจ๊กสัน หาว่าแจ๊กสันใช้ประโยชน์จากความเก่งของแฟนสาวเพื่อผลักดันตัวเองขึ้นมา แต่ทั้งคู่ไม่ได้สนใจอะไรมากกว่ามีกันและกัน

โดโรเทีย แทนนิง และมักซ์ แอร์นสต์
โดโรเทีย แทนนิง และมักซ์ แอร์นสต์ - จิตรกรดาดาและเซอร์เรียลลิสต์ คนพบกัน ณ แกลเลอรีแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก ตกหลุมรักกันหลังจากแข่งเดินหมากรุก แต่งงานแล้วก็ย้ายไปปักหลักที่กรุงปารีส ทั้งคู่เสริมส่งกันในการทำงาน ไม่แข่งกันดัง มักซ์เอาดีทางด้านเซอร์เรียลลิสม์ ขณะที่โดโรเทีย เปลี่ยนความสนใจไปทำงานประติมากรรมและภาพพิมพ์ในบั้นปลาย

โกล้ด โมเนต์

โกล้ด โมเนต์ : ภาพเขียนที่เพิ่งค้นพบ

นักวิจัยจากภาควิชาคณิตศาสตร์เทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยยีวาสกีลา ประเทศฟินแลนด์ ค้นพบภาพเขียนในกลุ่ม Haystack อีกภาพหนึ่งของโกล้ด โมเนต์ จิตรกรอิมเพรสชันนิสม์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส ซึ่งมีร่องรอยของสีน้ำมันที่ทาทับลายเซ็นศิลปินเอาไว้ ทำให้แม้เขาจะสร้างสรรค์ภาพกองฟางลักษณะนี้เอาไว้หลายภาพ แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครกล้าฟันธงว่าเป็นผลงานของเขาจริง เพราะไม่เห็นลายเซ็นที่ซ่อนอยู่
นอกจากนี้ หลังจากการตรวจสอบด้วยกล้อง hyperspectral หรือเครื่องกวาดภาพช่วงคลื่นละเอียดสูง ซึ่งสร้างสรรค์โดย SPECIM ทำให้ได้ข้อสรุปว่าภาพดังกล่าวว่าโกล้ดน่าจะวาดขึ้นในปี 1891

ภาพเขียนดังกล่าวเป็นสมบัติของมูลนิธิจิตรกรรม กอสตา เซอร์ลาชิอุส มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 ซึ่งพวกเขาสงสัยมาตลอดว่าเป็นภาพเขียนของโกล้ด โมเนต์ แต่ไม่ได้รับการยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ
ก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามที่จะพิสูจน์หลายครั้ง เพราะหากเป็นภาพวาดเลียนแบบมันก็ดูสวยเกินไป อย่างมหาวิทยาลัยในเรเซนาร์ต โดยศูนย์วิจัยศิลปะผสมผสานในเมืองมันต์ตา ประเทศฟินแลนด์ ก็เคยเข้าตรวจสอบภาพนี้ด้วยกล้อง hyperspectral พร้อมทั้งเครื่องระบบเอกซเรย์ แบบ XRF ที่ทำการสแกนภาพในหลายๆ มุมไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปใดๆ

“กล้อง hyperspectral จะถ่ายภาพออกมาให้เห็นเป็นแนวคลื่นแสงที่แตกต่างกัน 256 ภาพต่อหนึ่งครั้งที่กดชัตเตอร์ ซึ่งใกล้เคียงกับการใช้อินฟราเรด คลื่นแสงที่ออกมาเป็นภาพนี้ ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยจะทำให้เห็นถึงสีทุกสี ทุกชั้นที่อยู่บนภาพๆ นั้น”

อิลกา โปโลเนน ผู้ทำวิจัยคณะล่าสุด กล่าวต่อว่า กล้องจะทำหน้าที่คล้ายสแกนเนอร์ โดยจะสแกนเป็นแนวระนาบทีละเส้นๆ จนครบทั้งภาพ “ผลที่ได้ออกมาจะเป็นโครงสร้างของแสงสีออกมาเป็นคลื่นแสง ซึ่งคราวนี้ก็แล้วแต่การออกแบบของนักวิจัยแต่ละท่านที่จะถอดรหัสคลื่นแสงออก มาเป็นการอ่านค่าได้อย่างไร”
สำหรับทีมของอิลกาได้สแกนภาพเขียน Haystacks at Giverny the Evening Sun ด้วยกล้อง hyperspectral ของ SPECIM ตามขั้นตอนดังกล่าว ซึ่งทำให้ได้ข้อมูลเป็นคลื่นแสงจำนวนมาก ขณะที่ลายเซ็นของโกล้ด โมเนต์ อาศัยคนละวิธีในการค้นหา โดยเป็นศาสตร์หลากหลายที่มีคนพยายามทดลองทำมาก่อนหน้า นำมาผสมผสานกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง

“วิธีการที่เรียกว่า Spectral imaging ที่มักใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของภาพต้นแบบดั้งเดิม เช่นว่ามีสีสันที่เพี้ยนไปจากของเก่ามั้ย เป็นวิธีการยอดนิยมในการตรวจสอบภาพเขียนที่มีมูลค่ามานานแล้ว กรณีนี้เคยมีการใช้วิจัยภาพ Haystack ภาพนี้มาแล้ว แต่อาจทำไม่ละเอียดพอ หรือจำเพาะเจาะจงไปไม่ตรงจุดที่เป็นลายเซ็นของศิลปิน ไม่ก็อ่านค่าไม่ถูกต้อง สำหรับครั้งนี้เราอาศัยศาสตร์อื่นๆ เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์การแพทย์ การสำรวจสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ อะไรอีกมากมาย ที่ช่วยให้เราค้นพบลายเซ็นที่ซ่อนอยู่ใต้ชั้นสี” เพคคา นีททานมากิ อธิการบดีมหาวิทยาลัยยีวาสกีลา เล่า

สำหรับ ออสการ์-โกล้ด โมเนต์ ถือได้ว่าเป็นจิตรกรผู้บุกเบิกศิลปะยุคอิมเพรสชันนิสม์เลยก็ว่าได้ โดยภาพ Impression, Sunrise ปี 1873 ของเขา กลายมาเป็นชื่อเรียกยุคสมัยความเคลื่อนไหวของศิลปะ
สมัยเด็กๆ บิดาของเขาต้องการให้สานต่อธุรกิจของครอบครัว แต่ในจิตใจของโกล้ดมีแต่ศิลปะ และมุ่งมั่นต้องการเป็นจิตรกรอาชีพ

โกล้ด โมเนต์ เข้าโรงเรียนศิลปะที่เลอ อาฟร์ ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ ซึ่งแค่ชั้นมัธยมต้น เขาก็สามารถสร้างรายได้จากการวาดภาพเหมือนให้คนนั้นคนนี้ โดยคิดภาพละ 10-20 ฟรังก์

5 ปีหลังเข้าเรียนศิลปะ เขาก็ได้พบกับศิลปินอย่าง อูแชน บูลแด็ง ซึ่งสอนเทคนิควาดภาพกลางแจ้งที่เรียกว่า en plein air ให้ ทั้งคู่กลายเป็นศิษย์-อาจารย์ กระทั่งอายุ 16 โกล้ดลาออกจากโรงเรียนมุ่งหน้าสู่กรุงปารีส แทนที่จะไปนั่งวาดภาพศึกษาจากศิลปะของโอลด์มาสเตอร์เช่นคนอื่นๆ เขากลับนั่งริมหน้าต่างแล้ววาดสิ่งที่เขามองเห็นจากหน้าต่างห้องแทน
ในวัย 21 เขาเข้าร่วมกองทัพไปประจำการที่แอลจีเรีย จริงๆ แล้วต้องรับใช้ชาติถึง 7 ปี ทว่าพอเข้าปีที่ 2 เขาก็ป่วยเป็นไทฟอยด์จึงต้องปลดประจำการ และกลับมาเรียนศิลปะต่อ ณ กรุงปารีส โดยศึกษาเข้มข้นในแนว en plein air กับเพื่อนๆ ในรุ่นใกล้เคียงกัน อย่าง ปิแอร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ เฟรเดริก บาซิลล์ และอัลเฟรด ซิสลีย์
ระหว่างนั้นได้เกิดสงครามฟร็องโก-ปรัสเซีย ทำให้โกล้ดอพยพไปอยู่ที่อังกฤษชั่วคราว ที่นั่นเขาได้ศึกษาผลงานของจอห์น สเตเบิล และโจเซฟ มัลลอร์ด เทอร์เนอร์ โกล้ดไม่เพียงได้เรียนรู้ด้านการวาดภาพแนวแลนด์สเคปซึ่งทั้งคู่เอกอุเท่า นั้น หากยังได้อิทธิพลเรื่องการใช้สีมาด้วย

พอสงครามสงบเขากลับมากรุงปารีส และใช้ชีวิตแบบชาวปารีเซียงทำกัน คือ ออกมาปิกนิกในสวนวันอาทิตย์ นอกจากเพื่อนๆ ศิลปินรุ่นเดียวกันที่กล่าวไปแล้ว เขายังสนิทกับเอดูอาร์ด มาเนต์ และภรรยา พวกเขาออกไปปิกนิกวันอาทิตย์ด้วยกันบ่อยๆ และเป็นที่มาของภาพเขียนจำนวนหนึ่งที่วาดในสวนท่ามกลางบรรยากาศปิกนิก

ศิลปินหนุ่มในกลุ่มก๊วนรวมตัวกันจัดนิทรรศการอิมเพรสชันนิสม์ครั้งแรก ณ เลขที่ 35 บูเลอวาร์ด เดส์ กาปูชีนส์ กรุงปารีส ในปี 1874 โดยจริงๆ แล้วไม่ได้ตั้งใจจะนำเสนอวิธีการวาดภาพแนวใหม่ ทว่าต้องการแสดงอิสระทางความคิดของพวกเขามากกว่า เนื่องจากว่า ซาลง เดอ ปารีส ปฏิเสธการจัดแสดงผลงานของเขา ไม่ว่าจะเป็นภาพ Impression, Sunrise (1873) Luncheon (1868) และรูปอื่นๆ เขายังวาด Boulevard des Capucines เพื่อเป็นเกียรติแก่สถานที่

ท่ามกลางภาพเขียนของเพื่อนร่วมกลุ่มรวม 165 ภาพ ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม มีผู้เข้าชมกว่า 3,500 คน และภาพก็ขายได้ดี แม้บางภาพราคาจะดูสูงเกินจริง

หลังการจากไปของกามิลล์ ภรรยาของเขาซึ่งป่วยเป็นวัณโรค ฐานะทางการเงินของโกล้ดก็ดูจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ก็มีอย่างไม่หยุดหย่อน ในปี 1890 เขาซื้อบ้านหลังใหญ่ที่มีสวนสวย ผลงานดีๆ ในบั้นปลายจึงเต็มไปด้วยภาพวาดในสวน ซึ่งเขาเป็นคนออกแบบเองโดยศึกษาจากหนังสือพฤกษศาสตร์ ว่ากันว่า เขาจ้างคนสวนทีเดียวถึง 7 คน เพื่อให้ได้สวนในแบบที่ต้องการ

เมื่อออสการ์-โกล้ด โมเนต์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด มิเชล โมเนต์ ลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของเขา ปรับปรุงบ้านของพ่อเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนทั่วไปเข้าชม รวมทั้งในส่วนของสวนสวยด้วย

เบร์นาร์โด เบลลอตโต

เบร์นาร์โด เบลลอตโต กานาเลตโตหมายเลข 2








สถาบันซอเธอบีส์ ในฮ่องกง เตรียมนำคอลเลกชั่นภาพเขียนจากปราสาทฮาวเวิร์ดในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสถานที่แต่งงานของป๊อปสตาร์ชาวไต้หวัน เจย์โจว รวมทั้งเป็นฉากในหนังฮอลลีวู้ด Brideshead Revisited ซึ่งนับเป็นที่รวมคอลเลกชั่นภาพเขียนเด็ดๆ เอาไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งของอังกฤษ
ในจำนวนดังกล่าว มีผลงานของมาสเตอร์ชาวอิตาเลียน (เวนิส) อย่าง เบร์นาร์โด เบลลอตโต ผู้มีฉายาว่าเป็น “กานาเลตโต” หมายเลข 2 ยอดจิตรกรจากศตวรรษที่ 18 อันเป็นสมบัติเก่าแก่ของตระกูลฮาวเวิร์ดเจ้าของปราสาทมากว่า 300 ปี

เบร์นาร์โด เบลลอตโต (มีชีวิตระหว่างปี 1722-1780) เป็นลูกศิษย์ และเป็นหลานชายของ กานาเลตโต (โจวานนี อันโตนิโอ กานาล) เขาเป็นผู้ช่วยคุณลุงจิตรกรชื่อดังในการสร้างสรรค์งานมาโดยตลอด โดยเฉพาะภาพวาดทิวทัศน์ของเมืองเวนิสอันโด่งดัง

ส่วนหนึ่งของภาพเขียนในคอลเลกชั่นจากปราสาทฮาวเวิร์ด คือภาพเขียนสีน้ำมันบริเวณแกรนด์คาแนล อย่าง A View of The Grand Canal Looking South From The Palazzo Foscari and Palazzo Moro-Lin Towards The Church of Santa Maria Della Carita, With Numerous Gondolas and Barges ซึ่งคาดว่าจะมีราคาราว 2.5-3.5 ล้านปอนด์ หรือราว 121-170 ล้านบาท
ภาพนี้เขียนขึ้นเมื่อเบร์นาร์โดอายุเพียง 16 ปี และยังคงทำงานเป็นผู้ช่วยอยู่ในสตูดิโอของกานาเลตโต (เริ่มทำอายุ 14) โดยฝีมือของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือในแนว เวดูติสตา (vedutista’s art) หรือภาพวาดแลนด์สเคปแล้ว

เบร์นาร์โด เบลลอตโต ออกจากเวนิสไปไปกรุงโรม ตั้งแต่อายุได้ 20 ปี เรียกว่าออกไปเผชิญโชคตั้งแต่ยังเด็กมากเช่นเดียวกับลุงของเขา
ขณะที่ยังทำงานในสตูดิโอเดียวกันนั้น ลุงกานาเลตโตกับหลานทำงานใกล้ชิดกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากออกไปศึกษาด้านสถาปัตยกรรมและผังเมืองจากกรุงโรมกลับมา บรรดานักประวัติศาสตร์ศิลปะเชื่อว่า มีภาพจำนวนหนึ่งที่เบร์นาร์โดเป็นคนวาด และกานาเลตโตเป็นผู้ลงสี

เขาจากบ้านเกิดไปอย่างถาวรตั้งแต่ปี 1746 และมีผลงานที่น่าจดจำทั้งในเดรสเดนและวอร์ซอว์ ซึ่งเบร์นาร์โดใช้ชื่อในการทำงานอาชีพ ว่า กานาเลตโต ซึ่งทำให้คนสับสนมาก โดยเฉพาะภาพทิวทัศน์เมืองเวนิสที่ทั้งคู่ต่างสร้างสรรค์เอาไว้จำนวนมาก
11 ปี ในเดรสเดน เบร์นาร์โดเป็นจิตรกรประจำราชสำนักของพระเจ้าออกุสต์ที่ 3 แห่งแซกโซนี ซึ่งเขาได้รับพระบัญชาให้วาดภาพเมืองเดรสเดนและปีร์นา รวมถึงเมืองปราการ อย่าง ซอนเนนสไตน์และโคนิกสไตน์ ลงบนผืนผ้าใบขนาดมหึมา รวมแล้วเกือบๆ 30 ภาพ

ที่เดรสเดน ทำให้เห็นพัฒนาการอย่างใหญ่หลวงของเบร์นาร์โด โดยเฉพาะความแม่นยำในเรื่องของผังเมือง การจัดองค์ประกอบแสง และการคำนวณเพอร์สเปกทีฟได้สุดเป๊ะ เบร์นาร์โดไม่ต้องอาศัยการขีดเครื่องหมายลงบนภาพเช่นที่ลุงของเขาทำ หากมีมุมมองของการคำนวณที่แม่นยำ ซ้ำฝีแปรงก็ยังเพิ่มความดุดันยิ่งกว่าอาจารย์ลุงอีกด้วย

ไม่แปลกเลยที่ภาพวาดทิวทัศน์ในสไตล์ของเบร์นาร์โด เบลลอตโต จะดูมีบรรยากาศและอารมณ์ที่เหนือจริงไปบ้าง ด้วยความที่เขาวาดจากสิ่งที่เห็น โดยเพิ่มอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปด้วยอีกนิดหน่อย

เบร์นาร์โดหนีสงครามจากเดรสเดนไปกรุงเวียนนา หลังสงคราม 7 ปี ในเดรสเดน จิตรกรชาวเวนิสกลับไปยังเมืองหลวงของแซกโซนี ซึ่งไม่เหลือสภาพบ้านเมืองแบบเดิมแล้ว ราชวงศ์ไม่อยู่ในฐานะที่จะว่าจ้างจิตรกรประจำราชสำนักอีกต่อไป แต่พวกเขาได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยด้านศิลปะขึ้นมา (Akademie) และได้รวบรวมศิลปินดังในยุคนั้นไว้ เบร์นาร์โด สร้างผลงานที่เป็นแฝดกับที่เขาเคยวาดเอาไว้ช่วงก่อนสงคราม เป็นภาพในมุมเดิม หากวาดสภาพบ้านเมืองที่ปรักหักพัง อย่างที่เห็นและเป็นอยู่แทน

ไม่นานเขาก็ได้นายใหม่ในกรุงวอร์ซอว์ พระเจ้าสตานิสลอส โปนิยาทาวสกี ต้องการบรรยากาศวัฒนธรรมสมัยใหม่แบบตะวันตกในโปแลนด์ ในพระราชวังหลายๆ แห่งของราชวงศ์วีลาเนา ตกแต่งด้วยภาพนิวทัศน์ของกรุงโรม ขณะที่เบร์นาร์โด เบลลอตโต เข้ามาสร้างสรรค์ภาพทิวทัศน์กรุงวอร์ซอว์ ประดับไว้ ณ กานาเลตโต ฮอลล์ ในพระราชวังวอร์ซอว์
ความต่างระหว่างกานาเลตโต หมายเลข 1 กับหมายเลข 2 อยู่ตรงที่ อาจารย์ลุงสร้างสรรค์งานส่วนใหญ่เป็นภาพทิวทัศน์เมืองเวนิสในมุมต่างๆ ขณะที่ผู้หลานมุ่งสร้างงานสำหรับประดับผนังพระราชวังและแกลเลอรี่ สำหรับลุงเน้นสีสันที่สดใสสวยงาม สีสันบนงานของหลานจะออกหม่นๆ มืดทึบ ซึ่งผลงานในช่วงหลังออกจากอิตาลีแล้วยิ่งชัดเจนในด้านการให้แสงในภาพ รวมทั้งสไตล์ที่นำเอาศิลปะสถาปัตย์และการตกแต่งเข้ามาใช้

ผลงานส่วนตัวของเบร์นาร์โด เบลลอตโต เพิ่งจะปรากฏตัวตนให้โลกรู้ว่า มีกานาเลตโตคนที่ 2 ซึ่งไม่ใช่คนคนเดียวกัน ก็เมื่อเข้าศตวรรษที่ 20 มาแล้วนี่เอง